1 แผ่นจบมาสเตอร์
Lars and the Real Girl เล่าเรื่องของ ลาร์ส ผู้ชายคนหนึ่ง ที่ต้องเผชิญกับชีวิตเหงาๆ มาตลอดชีวิต ถึงขั้นว่า มันทำให้ลาร์ส เข้าใจไปว่า ความเหงา คือ ตัวตนของเขาหากความเหงาของนังมิว ถูกนิยามด้วยคำว่า เ-ี้ย..ความเหงาของลาร์ส ก็คงบอกได้คำเดียวว่า โคตรเ-ี้ย..เพราะผลกระทบที่มันได้ทิ้งไว้ให้กับ ลาร์ส มันไม่ใช่แค่ ความคิดที่ว่า "โลกนี้ ไม่มีที่ให้กับเขา" อย่างที่นังมิวมันรู้สึก..แต่ มันถึงขั้นที่ "ลาร์ส" ต้องสร้างโลกส่วนตัวของตัวเองขึ้นมา.. ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก.. ใครๆก็มีโลกส่วนตัว.. แต่ที่ร้าย ก็คือ เขาได้ตัดตัวเองออกจากสังคม และไม่เหลือความสัมพันธ์ใดๆกับ "โลกของความเป็นจริง" ที่อยู่รอบตัวเขา..วิกลจริต.. หรือ "mental disorder" คงสามารถนำมาใช้ได้ในกรณีนี้หากนังมิว มันขาดความรักจากไอ้โต้งไม่ได้ฉันท์ใด..ลาร์ส ก็ขาด "ความรัก" ไม่ได้ฉันท์นั้น(มิว; ทำไมต้องเอากรูมาเปรียบอีกแล้วว้าาา)เพราะสุดท้าย.. โรคจิตหรือไม่.. ยังไง ลาร์ส ก็ยังเป็น "มนุษย์" คนหนึ่ง ที่ยังต้องการ "ความรัก"ทางออก ของลาร์สในเรื่องนี้ ก็คือ การสั่งตุ๊กตาหุ่นเหมือนจริงมาตัวหนึ่ง.. และเล่นบทพระเจ้า ขีดเขียนพรหมลิขิตของตุ๊กตาตัวนี้ ให้เป็น "เนื้อคู่" .. ให้เป็น "ผู้หญิงของฉัน".. โดยเรียกชื่อ"อีฟ"ของเขาตัวนี้ว่า "บียอนคา"..หนัง ใช้เวลาในการเล่าเรื่องในจุดนี้ ไม่นาน.. เพื่อที่จะไม่ให้หนังเยิ่นเย้อไปจนน่าเบื่อ.. แต่ด้วยความสามารถของผู้กำกับ Craig Gillespie และผู้เขียนบท Nancy Oliver รวมไปถึงการแสดงขั้นเทพของดาวรุ่ง Ryan Gosling (ที่นับวัน จะยิ่งเพิ่มพูนบารมีของนักแสดงที่ดี ขึ้นเรื่อยๆ).. แค่เวลาเพียงไม่มาก .. หนังก็ประสบความสำเร็จไปแล้ว กับการผูกมัดคนดู ให้เข้าใจ และเริ่มที่จะรู้สึกผูกพันในตัวละคร "ลาร์ส"หลังจากนั้น หนังก็เดินเรื่อง โยงไปเล่าเรื่องของ "คนรอบตัว" รวมไปถึง "สังคมรอบข้าง".. ของลาร์สในช่วงนี้นี่เอง.. ที่เกิดสิ่งที่ไม่ได้คาดหมายขึ้นมา..ไม่ต้องห่วง ไม่ใช่ในส่วนของเนื้อเรื่องหรอก.. ไม่สปอยจ้า.. เอ๊ะ หรือสปอยหว่า..สิ่งที่ไม่ได้คาดหมายนั้น ก็คือ การที่หนังเรื่องนี้ ได้เล่าเรื่องต่างๆของมัน ในมุมมองที่ไร้เดียงสา.. มากๆ.. มองโลกในแง่ดีมากมายแรกๆ มันก็เป็นข้อด้อยเล็กๆของหนังนะ.. เพราะมันเกิดความรู้สึก "ไม่จริง" (fake) ขึ้นมาตะหงิดๆ.. แต่พอหนังเดินเรื่องมาเรื่อยๆ ไอ้ข้อด้อยข้อนี้ มันก็จางลงไปเรื่อยๆ.. จนกระทั่งถึงจุดที่หนังเรื่องนี้ ปิดฉากตัวเองลง.. ถึงได้เข้าใจว่า ไอ้การมองโลกในแง่ดีมากๆของหนัง จริงๆสร้างผลกระทบ(ในแง่บวก) ให้กับตัวหนังมากมายมาถึงจุดนี้ มันจึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า .. ทั้งๆที่หนังมีส่วนผสมของ "การมองโลกในแง่ดี" จนเกินจริง.. อะไรทำให้หนังเรื่องนี้ "เวิร์ก" ในสายตาของผู้เขียน